สิ้นเสียงปืน 1 นัด ในช่วงเวลาประมาณตี 4 ของวันที่ 1 กันยายน 2533 ในบริเวณป่าห้วยขาแข้ง โดยไม่มีใครสนใจ เพราะเสียงปืนแทบจะเป็นปกติของที่แห่งนี้ ทั้งเพื่อการล่าสัตว์ และการฆ่าคนบริสุทธิ์ จึงไม่มีใครให้ความสนใจ ว่าเสียงปืนนัดนั้นมีที่มาอย่างไร และเกิดขึ้นเพราะอะไร จนกระทั่ง หม่อง หรือ จิตประพันธ์ กฤตาคม ได้พบกับร่างไร้ลมหายใจของผู้ชายที่ทุ่มเทกายและใจ ให้กับการปกป้องเขื่อนเชี่ยวหลานและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของป่าห้วยขาแข้ง มาตลอดระยะการดำรงหน้าที่ข้าราชการ ร่างของชายผู้มีนาม “สืบ นาคะเสถียร” อยู่บนเตียงกับกระดาษ 1 แผ่น
วันที่ 1 กันยายน 2565 นี้ ครบรอบ 32 ปีแล้ว ที่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ผ่านล่วงเลยไป แต่ผู้คนยังกล่าวขาน และเป็นตำนานที่ไม่เคยลบเลือนไปไหน กับ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง “สืบ นาคะเสถียร” นักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ทำหน้าที่ข้าราชการอย่างซื่อสัตย์ ทุ่มเทแรงกายแรงใจใหักับการปกป้องเขื่อนเชี่ยวหลาน และความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าห้วยขาแข้ง จนร่างกายซูบผอม เพราะต้องต่อสู้กับปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ของนักธุรกิจผู้หิวเงินที่ไม่เคยรู้จักพอ และผู้มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้หัวหน้า สืบ นาคะเสถียร จะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหันมาสนใจกับปัญหานี้ แต่ทว่า…ความเงียบ เท่านั้น ที่ตอบรับกลับมา จึงทำให้รู้ว่า ก่อนจะแก้ปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาแรกที่ต้องขุดก่อน คือ ระบบราชการไทย!
ความคับข้องหมองใจ ที่หัวหน้า สืบ มีมาตลอด เหมือนมองท้องฟ้าไปทางไหน ก็มืดทุกทิศทาง ปัญหาการทำลายระบบป่า ที่เขาเพียงลำพังไม่สามารถจะจัดการได้ และปัญหาของระบบคอร์รัปชันของราชการไทย ที่ที่มีสืบเป็นต้นทางกระบอกเสียง แต่ปลายทางเงียบหาย ทำนิ่งเฉย เพราะ น้ำเงิน ที่อุดปลายทางกระบอกไว้มันหนากว่า ความดี ทำให้หัวหน้า สืบ รู้สึกโดดเดี่ยวและอับอาย โดยได้รับการยืนยันจาก เบลินดา สจ๊วต ค็อกซ์ เพื่อนสนิทชาวอังกฤษของสืบได้เผยว่า สืบ นาคะเสถียร เคยบ่นอย่างทุกข์ใจ ว่าเขาอับอายที่เกิดมาเป็นคนไทย ประเทศที่มีระบบคอร์รัปชัน มากเกินไป และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปืนนัดนั้นดังขึ้น และปลิดเอาวิญญาณของเขาจากไปตลอดกาล
สืบ นาคะเสถียร ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ณ ป่าห้วยขาแข้ง ด้วยความมุ่งมั่นเต็มร้อย ที่จะทำหน้าที่อนุรักษ์และรักษาผืนป่าแห่งนี้ให้ดีที่สุด ห้วยขาแข้งมีพื้นที่ขนาด 1 ล้าน 6 แสนไร่ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งเดียวที่ไม่มีราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่ออาศัย ทำให้ป่าอุดมไปด้วยสัตว์พันธุ์หายากมากมาย อาทิเช่น กระทิง วัวแดง เสือดาว เสือโคร่ง สมเสร็จ นกยูงไทย ควายป่า ช้างป่า ฯลฯ ด้วยความมุ่งมั่นของสืบ ทำให้เขาออกทำงานตรวจจับไม้เถือนตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกลอบทำร้าย หรือหลงป่าหรือไม่ เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาจดจ่อและมุ่งเป้า คือ รักษาผืนป่านี้ให้ได้มากและดีที่สุด ตามที่เขาตั้งใจไว้นั่นเอง
หัวหน้า สืบ นาคะเสถียร ออกทำงานร่วมกับลูกน้องที่เป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ พร้อมกับอาวุธเพียงปืนลูกซอง และยังไร้วิทยุสื่อสารในการติดต่อกัน แต่ต้องต่อสู้กับนักล่าสัตว์และลอบตัดไม้ ที่มี M16 เป็นอาวุธคู่กาย และเหตุการณ์ก็ซ้ำ ๆ เดิม ๆ คือ เหล่าเจ้าหน้าที่ถูกฆ่าตายทุกวัน เพราะแค่อาวุธก็ต่างกัน อีกทั้งเจ้าหน้าที่เปิดฉากยิงก่อนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะโดนข้อหา ทำเกินกว่าเหตุ ทำให้เมื่อปะทะกับนักล่าสัตว์ก็โดนเปิดฉากยิงก่อนทุกที ลูกน้องและเจ้าหน้าที่ตายไปทุกวัน แต่ไร้การเหลียวแลจากผู้ใหญ่และภาครัฐฯ มีเพียงแค่เงินเดือนลูกจ้างชั่วคราวไม่เกินคนละ 1,500 บาท / เดือน และต้องต่อสู้กับศัตรูรอบข้าง ทั้งชาวบ้านที่ลอบล่าสัตว์ หรือบางทีก็เป็นผู้นำทางให้กับพรานจากในเมือง และผู้มีอิทธิพลมีสี ที่มักจะมีใบสั่งในการล่าสัตว์ป่า เพื่อเอาเขาหนัง เนื้อ ไปขายเป็นของประดับ หรือแม้แต่เป็นอาหารป่ารสเลิศตามร้านอาหารรอบบริเวณห้วยขาแข้งเอง!
ปัญหาอันหนักหน่วงและซับซ้อนมากกว่าที่ สืบ ได้ประเมินไว้ก่อนจะมารับตำแหน่ง เขาพยายามขอความร่วมมือจากหน่วยราชการนอกป่าห้วยขาแข้ง เพื่อช่วยกันป้องกันการล่าสัตว์และทำลายป่า ทั้งพยายามเดินเรื่องเข้าพบผู้ใหญ่ทุกสี ทุกแห่ง หรือแม้แต่กรมป่าไม้ แต่…เช่นเคย ตามระเบียบราชการไทย ความเงียบ เท่านั้น ที่เขาได้กลับมา
เขาเคยพร่ำบ่นกับเพื่อนสนิทด้วยกันไม่กี่คน ถึงเรื่องลูกน้องที่ถูกยิงตายและบาดเจ็บหลายคน ที่ทำหน้าที่จนตาย แต่กลับไร้สวัดิการและการช่วยเหลือจากหน่วยใด ๆ จน ดร.อลัน ราบิโนวิทซ์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้บอกกับสืบว่า เขาไม่ควรกังวลกับการตายของใคร พวกเขาล้วนแต่ทำตามหน้าที่ และมันไม่ใช่สิ่งที่สืบต้องรับผิดชอบ แต่สืบสวนกลับทันควันว่า “จะต้องไม่มีใครตายในห้วยขาแข้ง ถ้ามี ก็ต้องเป็นผม”
สืบ นาคะเสถียร มักโดนใส่ร้ายเพื่อหวังจะทำลายและเขี่ยเขาให้กระเด็นจากเส้นทางคอร์รัปชัน รวมไปถึงการทำลายป่าของผู้มีสีและเหล่าผู้มีอิทธิพล หลายต่อหลายครั้ง และนั่นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สีกได้อย่างแน่ชัดว่าเขากำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ดูแลผืนป่าแห่งนี้ด้วยใจสัตย์ซื่อ และความพยายามที่เขาทำมาทั้งหมดนั้น มันไร้ค่า และสลายกลายเป็นอากาศธาตุเท่านั้น เขาไม่สามารถคาดหวังใครได้อีก เขาไม่มีความภาคภูมิใจในการเป็นข้าราชการอีกต่อไป เพราะเขารู้แล้วว่า คอร์รัปชัน ที่เขากำลังเผชิญอยู่ มันเกินกว่าเขาจะแบกรับไหว จนกระทั่งวันเช้าตรู่ของวันที่ 1 กันยายน ก็ได้พรากวิญญาณของหัวหน้าเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร เมื่อสิ้นเสียงปืน
ในที่สุด เสียงปืนหนึ่งนัดก็ดังไปถึงสื่อมวลชนทุกฉบับ มีการพาดหัวข่าวถึงความสะเทือนใจในการจากไป ของหัวหน้าเขตฯ สืบ นาคะเสถียร ทำให้ข้าราชการระดับสูง ทั้งจากกรมป่าไม้ ข้าราชการจังหวัด นายทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนับร้อยคน ร่วมประชุมปรึกษาเพื่อหารือในการป้องกันการทำลายป่าในเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เป็นที่น่าเสียดาย สืบ เคยมุ่งหวังและต้องการให้มันเกิดขึ้นมาตลอด แต่ว่าเขาไม่มีโอกาสได้เห็นมันเลยในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่
เสียงปืนในวันนั้น สร้างประวัติศาสตร์และตำนานจนถึงทุกวันนี้
ผู้ใหญ่ที่มุ่งหวังให้คนซื่อสัตย์และจริงจังอย่าง สืบ นาคะเสถียร ไปช่วยปกป้องผืนป่า แต่เมื่อเขารายงานปัญหาตามความจริงอย่างละเอียด เพราะหวังสรรพสัตว์และผืนป่าได้รับการดูแล แต่ผู้ใหญ่กลับเมินเฉยและไม่เคยปกป้องหรือให้การช่วยเหลือใด ๆ ก็เสมือนเป็นการส่งเขาไปตายในสนามรบอย่างโดดเดี่ยว หากไร้เสียงปืนในวันนั้น ก็คงไร้การหันหน้ามาให้ความสนใจกับปัญหาที่สืบพยายามเรียกร้องมาตลอด จนกระทั่งวันนี้…
32 ปี แห่งการจากไป ขอสดุดีไว้อาลัยแด่ข้าราชการไทยใจซื่อ ผู้ไม่เคยทรยศต่อหลักการและความมุ่งมั่นของตัวเอง ชายคนนั้นชื่อ “สืบ นาคะเสถียร”