Science

มาริโมะคืออะไร เลี้ยงมาริโมะเพื่ออะไร  พร้อมบอกวิธีเลี้ยงมาริโมะ

มาริโมะคืออะไร เลี้ยงมาริโมะเพื่ออะไร  พร้อมบอกวิธีเลี้ยงมาริโมะ

สำหรับใครที่เคยได้เห็นเจ้าก้อนกลมสีเขียว ที่นิยมเลี้ยงกันในหมู่วัยรุ่น หรือมักนอนแอ้งแม้งอยู่ในขวดโหลสวย ๆ หรือนอนขดกลมในตู้ปลา แลดูน่าเอ็นดู แถมมีชื่อสุดน่ารักว่า “มาริโมะ” หลายคนที่ได้ยินชื่อจากช่องทางโซเซียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นช่องยูทูป tiktok เฟสบุค หรือ อินสตราแกรม แล้วเกิดความสนใจอยากรู้ข้อมูลเพิ่ม มาริโมะคืออะไร แล้วมาริโมะเลี้ยงยังไง และ มาริโมะเลี้ยงกับปลาได้ไหม มาริโมะ หรือ Marimo คือ พืชน้ำชนิดสาหร่ายน้ำจืด จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสาหร่ายสีเขียว ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aegagropila linnaei อยู่ในวงศ์ Pithophoraceae ชื่อภาษาอังกฤษสาหร่ายมาริโมะ คือ Moss ball , Seaweed ball หรือ Lake ball มีต้นกำเนิดจากทะเลสาบอะกัง จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น และยังสามารถพบได้ในยุโรป ทะเลสาบมิวัทน์ (Myvatn) ประเทศไอซ์แลนด์  สาหร่ายมาริโมะถูกค้นพบโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย เมื่อปี ค.ศ.1820 แต่ชื่อ มาริโมะ มาจากนักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้ตั้งให้ โดยคำว่า “มาริ…

ประคบร้อน ประคบเย็น ต่างกันอย่างไร

ประคบร้อน ประคบเย็น ต่างกันอย่างไร

การประคบ และ การประคบเย็น คือ วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น สำหรับใช้บรรเทาอาการบาดเจ็บ หรืออาการปวด และการอักเสบที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ หรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดได้ในระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บระหว่างเล่นกีฬา ลื่นล้ม หรือจากพิษไข้ ก็สามารถใช้การประคบร้อน หรือ ประคบเย็น เพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ แต่วิธีประคบร้อน ประคบเย็น ต่างกันอย่างไร ประคบร้อนช่วยอะไร ประคบเย็นช่วยอะไร ประคบร้อนกี่นาที และถ้าปวดกล้ามเนื้อประคบร้อนหรือประคบเย็นกันแน่ มาหาคำตอบจากบทความนี้กันเถอะ จะได้นำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง  ความแตกต่างระหว่างการประคบร้อนและประคบเย็น 1. ประคบร้อน  การประคบร้อนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เนื่องจากความร้อนช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อ จึงช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บ ปวดเกร็งตามกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ น่อง และ อาการปวดประจำเดือน  วิธีประคบร้อนที่ถูกต้อง  ประคบร้อนหลังจากที่มีอาการผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมง โดยประคบร้อนครั้งละ 15 – 20 นาที วันละ 3 – 4…

เครื่องดักยุงมีกี่ประเภท ซื้อแบบไหนใช้งานได้ผลดีกว่า

เครื่องดักยุงมีกี่ประเภท ซื้อแบบไหนใช้งานได้ผลดีกว่า

เครื่องดักยุง ถือว่าเป็นอุปกรณ์กำจัดยุงชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมากขึ้น โดยเฉพาะ “เครื่องดักยุงไฟฟ้า” ยิ่งในฤดูฝนเป็นช่วงที่มียุงชุกชุม พาหะนำโรคร้ายมาพร้อมกับหน้าฝน เป็นสาเหตุทำให้มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้น การกำจัดยุงร้ายทุกวิถีทางจึงเป็นสิ่งจำเป็น และการใช้กับดักยุงอาจเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยตอบโจทย์ได้ดี แต่เครื่องดักยุงใช้ได้จริงไหม เครื่องดักยุงมีกี่แบบ และซื้อแบบไหนใช้งานอย่างไร ไปทำความรู้จักกับเครื่องกำจัดยุงที่ว่านี้ ไว้พิจารณาในการเลือกใช้งานกันหน่อยดีกว่าค่ะ  เครื่องดักยุงมีหลักการทำงานอย่างไร  หลักการทำงานของเครื่องดักยุง คือ การปล่อยสารเคมีบางอย่างที่มีคลื่นคล้ายกับลักษณะของสัตว์เลือดอุ่นออกมา เพื่อดึงดูดหลอกล่อยุงและแมลงต่าง ๆ ให้บินเข้าไปติดกับดัก ก่อนจะโดนช็อตตายอยู่ในเครื่องดักยุง ไม่สามารถบินออกมาทำร้ายสมาชิกในบ้านได้อีก  เครื่องดักยุงมีกี่ประเภท  เครื่องดักยุงแบ่งออกได้ 3 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ 1. เครื่องดักยุงใช้แสงและความร้อน  เครื่องดักยุงประเภทใช้แสงและความร้อน ทำหน้าที่ในการเลียนแบบอุณหภูมิร่างกายสัตว์เลือดอุ่น เพื่อหลอกล่อและดึงดูดยุง รวมไปถึงแมลงต่าง ๆ ให้บินเข้ามาใกล้ โดยจะมีหลอดไฟ UV เคลือบไทเทเนียมไดออกไซด์ ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และแสงอัลตร้าไวโอเลตจากหลอดไฟเป็นตัวคอยดึงดูด จากนั้น พัดลมในเครื่องจะดูดเอายุงและแมลงเข้าไป และกำจัดหรือฆ่าจนสิ้นซาก ซึ่งอุปกรณ์กำจัดยุงชนิดนี้จสามารถใช้ได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่จะมีพลังงานน้อยกว่าชนิดอื่น ๆ  2. เครื่องดักยุงไฟฟ้าช็อต  เครื่องดักยุงไฟฟ้า เป็นรูปแบบการใช้ไฟฟ้าช็อตยุงให้ตาย โดยภายในอุปกรณ์จะมีกำลังไฟฟ้าประมาณ 110 โวลต์…

สาระชวนรู้ สำลักอาหาร อันตรายถึงชีวิต ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที

สาระชวนรู้ สำลักอาหาร อันตรายถึงชีวิต ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที

การ “สำลักอาหาร” เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งเป็นสิ่งใกล้ตัวมาก ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะการสำลักอาหารผู้สูงอายุและในเด็กเล็ก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เรามักจะมีการลำลักอาหารได้บ่อยเกิดจากการทานอาหารไม่ถูกต้อง แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ประมาทไม่ได้ ควรได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการสูญเสีย ที่เกิดตามมาได้จากการสำลักอาหารเข้าหลอดหลอดลมหรือปอด จนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด แล้วการสำลักแบบไหน หรือสำลักบ่อยแค่ไหนที่ควรไปพบแพทย์บ้าง ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ  การสำลัก คือ มีสิ่งแปลกปลอมหลุดผ่านเข้าไปในทางเดินอาหาร หรือทางเดินหายใจส่วนล่างในขณะที่หายใจเข้า แล้วส่งผลให้เกิดการสำลักอาหารเข้าปอด อาการแสดงออกตามมาภายหลัง ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับปริมาณ ลักษณะชองที่ทำให้เกิดการสำลัก เป็นของแข็ง ของเหลว เศษอาหาร หรือกรดจากกระเพาะอาหาร ที่มีค่าความเป็นกรด – ด่าง (pH) ความถึ่ของการสำลัก รวมไปถึงการตอบสนองของสิ่งแปลกปลอม ใครบ้างมีความเสี่ยงต่อการสำลักได้  เราทุกคนสามารถเกิดการสำลักได้ ไม่ว่าจะเป็นการสำลักน้ำ สำลักอาหาร หรือสำลักน้ำลาย แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการสำลักได้ง่ายกว่าปกติ ได้แก่  ทำไมการสำลักในผู้สูงอายุ จึงเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เนื่องจากอวัยวะและระบบต่าง ๆ ในร่างกายของผู้สูงอายุเสื่อมประสิทธิภาพลง ทั้งระบบการทำงานช้าลง และระบบภูมิคุ้มกันเริ่มไม่แข็งแรง ส่งผลให้เกิดการสำลักได้ง่าย และอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ เช่น เกิดการสำลักอาหารเข้าปอด…

แนะวิธีตรวจชีพจร การวัดสัญญาณชีพเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้

แนะวิธีตรวจชีพจร การวัดสัญญาณชีพเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้

เราสามารถตรวจชีพเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง จากการจับตามบริเวณอวัยวะที่มีเส่นเลือดแดงอยู่ใกล้กับผิวหนัง เช่น ข้อมือ หรือ ลำคอ วันนี้เราจะมาแนะวิธีการตรวจชีพจรเบื้องต้นด้วยตนเองได้ง่าย ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้วัดสัญญาณชีพ เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือชีวิตผู้ประสบภัยหรือผู้ป่วยในขั้นต่อไปได้อย่างเหมาะสม  อวัยวะส่วนใดที่สามารถตรวจวัดชีพจรได้บ้าง ข้อมือ  วิธีตรวจชีพจรที่ข้อมือ ทำได้โดยการยื่นมือข้างหนึ่งไปข้างหน้า งอศอกเล็กน้อย และหงายฝ่ามือขึ้น จากนั้นวางนิ้วชี้และนิ้วกลางของมืออีกข้างหนึ่งลงไปจับชีพจรที่ข้อมือบริเวณโคนนิ้วโป้ง กดนิ้วชี้และนิ้วกลางลงบนผิวหนัง จนกว่าจะรู้สึกถึงการเต้นของชีพจร หรืออาจขยับตำแหน่งนิ้วทั้งสองจนกว่าจะเจอจุดที่รับรู้ถึงชีพจร  ลำคอ  ลำคอเป็นอีกบริเวณของร่างกายที่สามารถวัดชีพจรได้ แต่จะยากกว่าที่บริเวณข้อมือ วิธีการตรวจชีพจรที่ลำคอ ทำได้โดยการวางนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงลำคอ บริเวณใต้กรามใกล้กับหลอดลม ซึ่งเป็นจุดชีพจรบริเวณเส้นเลือดแดงแคโรติคที่ไปเลี้ยงสมอง ไม่ควรจับชีพจรที่คอพร้อมกันทั้งสองด้าน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายและหมดสติได้  การวัดชีพจร นับอย่างไร  เมื่อสามารถหาจุดที่สามารถรับรู้ได้ถึงการเต้นของชีพจร ให้เริ่มนับอัตราการเต้นของชีพจร 1 นาที โดยอาจจับเวลา 1 นาที แล้วนับจำนวนครั้งที่ชีพจรเต้น  หรืออาจจับเวลา 30 วินาที แล้วจึงนับจำนวนครั้งที่ชีพจรเต้นนำไปคูณด้วย 2  การตรวจหาความผิดปกติของจังหวะการเต้นหัวใจ ควรจับชีพจรแล้วสังเกตความผิดปกติของจังหวะชีพจรภายใน 20 – 30 วินาที ว่าชีพจรเต้นเร็ว เต้นแรง ชีพจรเต้นอ่อน หรือ ชีพจรเต้นขาดช่วงหรือไม่…

วิถีแม่บ้านยุคใหม่ ขจัดคราบร่องยาแนวด้วยของที่มีในบ้าน

วิถีแม่บ้านยุคใหม่ ขจัดคราบร่องยาแนวด้วยของที่มีในบ้าน

เคยไหมคะ ปัญหากวนใจที่ชวนหงุดหงิด หลังจากทำความสะอาดบ้านเท่าไร เหนื่อยจนแทบหมดแรง แต่ร่องพื้นก็ยังคราคร่ำไปด้วยคราบสกปรก โดยเฉพาะในร่องยาแนว ไม่ว่าจะคราบเหลือง หรือ คราบดำ ๆ ที่ขัดยังไง ก็ยังคงหลงเหลือซากทิ้งไว้ ให้รกตารกใจ พูดแล้วก็ช้ำใช่ไหมละคะ วันนี้เรามีวิธีทำความสะอาดร่องยาแนว แบบฉบับแม่บ้านมือโปร อุปกรณ์ก็หาได้ง่ายมีแทบกันทุกบ้านอยู่แล้ว หรือใครไม่มีจริง ๆ  ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปเลยค่ะ จะมีวิธีไหนและทำอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ  1. น้ำส้มสายชู  ถ้าใครทำงานบ้านประจำ หรือเป็นพ่อบ้านแม่บ้านแบบฟูลไทม์ ย่อมคุ้นเคยกับน้ำส้มสายชูกันดีอยู่แล้ว เพราะประโยชน์ของน้ำส้มสายชูสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายเลยทีเดียว แต่เรื่องใช้ทำความสะอาด ต้องยกให้น้ำส้มสายชูเป็นไอเทมดีเด่น จนแทบจะลืมวัตถุประสงค์หลักจริง ๆ ว่าเขาผลิตออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องปรุงในส่วนครัว หากบ้านไหนมีปัญหาขจัดคราบดำฝังลึก ให้ลองใช้แปรงสีฟัน หรือแปรงขนาดเล็ก ๆ ที่มีขนแข็ง ๆ ชุบน้ำส้มสายชูให้ชุ่ม แล้วนำไปขัดบริเวณที่มีคราบดำในรอบแรกก่อน แล้วค่อยทำความสะอาดปกติ และล้างออกด้วยน้ำเปล่าปิดท้าย   2. เบกกิ้งโซดา และ น้ำส้มสายชู  หลังจากใช้น้ำส้มสายชูหยั่งเชิงไปแล้ว แต่คราบยังดื้อด้านไม่ยอมออกไปให้หมด เหลือซากบางส่วนทิ้งไว้เยาะเย้ยเป็นหย่อม ๆ  แม่บ้านมือโปรอย่างเราต้องไม่ยอมแพ้ ต้องตามผู้ช่วยดี ๆ ที่เป็นไอเทมคู่ครัวและเด่นเรื่องใช้ทำความสะอาดสารพัดจนแทบลืมไปแล้วเหมือนกัน…

ทำความรู้จัก ก๊าซแอมโมเนียอันตรายไหม พร้อมกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสูดดมหรือสัมผัสแอมโมเนีย

ทำความรู้จัก ก๊าซแอมโมเนียอันตรายไหม พร้อมกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสูดดมหรือสัมผัสแอมโมเนีย

จากเหตุการณ์ก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลในโรงงานผลิตอาหารแช่แข็งส่งออกแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลท่าข้าม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จนทำให้คนงานหลายร้อยคนมีอาการเวียนศีรษะ และหมดสตินับสิบคนจากการสูดดมแอมโมเนีย จนต้องอพยพผู้คนที่พักอาศัยละแวกใกล้เคียงโรงงานในช่วงดึก เนื่องจากสารแอมโมเสียลอยฟุ้งและกระจายไปทั่วโรงงานและบริเวณรอบ ๆ เกรงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้คนในพื้นที่และใกล้เคียงได้   จากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนคงอยากรู้ว่าก๊าซแอมโมเนียคืออะไร หากเผลอไปสูดดมแอมโมเนียอันตรายไหม เราจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากพิษของสารแอมโมเนีย  ก๊าซแอมโมเนียคืออะไร  แอมโมเนีย ภาษาอังกฤษเขียนว่า Ammonia คือ สารเคมีอันตรายชนิดหนึ่งตามรายชื่อกฏหมายกำหนด นิยมนำไปใช้กับกระบวนการผลิต และผลิตกันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีแอมโมเนียที่ผลิตในร่างกายมนุษย์ และพบได้ในตามแหล่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นในดินจากกระบวนการของแบคทีเรีย ผลิตขึ้นในพืช สัตว์ และกระบวนการย่อยสลายจากของเน่าเสียเช่นกัน   แอมโมเนีย คุณสมบัติมีอะไรบ้าง  ก๊าซแอมโมเนียใช้ทำอะไร   แอมโมเนีย สูตรเคมี คือ NH3 เป็นสารพิษไร้สี แต่มีกลิ่นฉุนรุนแรง เป็นก๊าซที่เบากว่าอากาศ และมีจุดเดือดต่ำ จึงนิยมนำสารแอมโมเนียมาใช้เป็นก๊าซทำความเย็นทางอุตสาหกรรม แทนที่คอลโรฟลูออโรคาร์บอน โดยเฉพาะโรงงานทำน้ำแข็ง อุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง และห้องเย็น นอกจากนี้ยังนำแอมโมเนียไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น สารเคมีทำความสะอาด,  การทำน้ำให้บริสุทธิ์ , ปุ๋ยทางการเกษตร ผลิตพลาสติก เคมีภัณฑ์ และส่วนประกอบสำคัญด้านเภสัชภัณฑ์  ก๊าซแอมโนเนีย ประโยชน์ โทษ…

ทำไมจึงเกิดฟ้าผ่าและจะป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าอย่างไรเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง 

ทำไมจึงเกิดฟ้าผ่าและจะป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าอย่างไรเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง 

ฟ้าผ่า สาเหตุเกิดจากอะไร  ฟ้าผ่า คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนหรือเมื่อมีพายุ ซึ่งการเกิดฟ้าผ่ามาจากก้อนเมฆคิวมูโลนิมบัส หรือ Cumulonimbus คือ เมฆฝนขนาดใหญ่ที่มีมวลน้ำมหาศาลอยู่ภายใน เกิดการหมุนวนเร็วและแรงของกระแสอากาศจนทำให้เกิดการเสียดสีของมวลน้ำ กลายเป็นประจุอิเล็กตรอน และเกิดสนามไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยมีประจุบวก (+) อยู่ด้านบนก้อนเมฆ และ ประจุลบ (-) อยู่ตรงฐานหรือด้านล่างก้อนเมฆ เมื่อมีการเคลื่อนที่ระหว่างประจุบวกและประจุลบเข้าหากัน โดยอาจเกิดการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนภายในก้อนเมฆ ระหว่างก้อนเมฆ หรือระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ ฟ้าผ่า นั่นเอง  ฟ้าผ่ามีกี่แบบ  ประเภทของการเกิดฟ้าผ่า แบ่งได้ 4 แบบ ด้วยกัน  เหตุการณ์ฟ้าผ่า ผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตโดยตรง  เมื่อก้อนเมฆอยู่ใกล้พื้นดินมากกว่าเมฆก้อนอื่น ทำให้ประจุไฟฟ้าในก้อนเมฆกระโดดลงไปยังพื้นดิน โดยขณะที่เกิดฟ้าผ่า จะมีกระแสไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็นอันตรายมาก  ฟ้าผ่าอะไรได้บ้าง : ฟ้าผ่าคน ฟ้าผ่าสัตว์ หรือแม้แต่ฟ้าผ่าสิ่งของ อย่างฟ้าผ่าต้นไม้ เกิดจาก ฟ้าผ่าแบบลบ และ ฟ้าผ่าแบบบวก   ประโยชน์ของฟ้าผ่า  ฟ้าผ่าไม่ได้มีเพียงแค่โทษหรืออันตรายเท่านั้น แต่ฟ้าผ่ามีประโยชน์ต่อภาคการเกษตรเช่นกัน โดยเมื่อเกิดฟ้าแลบฟ้าผ่าจะช่วยเพิ่มธาตุไนโตรเจนในดิน…